วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2554

สาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน

สาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน
ร่างรัฐธรรมนูญเพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการได้รับบริการสาธารณะและ สาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานแห่งรัฐ
        ตามที่รัฐบาลที่ผ่านๆ มา ได้กำหนดนโยบายในการแปรสภาพรัฐวิสาหกิจสาธารณูปโภค โดยวิธีการยกเลิกกฎหมายเฉพาะในการจัดตั้งรัฐวิสาหกิจแต่งละแห่ง แล้วนำรัฐวิสาหกิจที่ถูกยกเลิกนั้น ไปจดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชน เพื่อระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งวิธีการแปรสภาพดังกล่าว สร้างความขัดแย้งให้กับสังคม ก่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนและผู้บริโภคเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการแปรสภาพรัฐวิสาหกิจ การไฟฟ้า การประปา องค์การเภสัชกรรม ซึ่งเป็นสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของรัฐ อันมีผลกระทบโดยตรงและรุนแรงต่อประชาชนทุกคน นอกจากนั้นแล้วยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อต้นทุนสินค้าและบริการทุกชนิด ที่อยู่ในระบบเศรษฐกิจ ของประเทศอีกด้วย
        ทั้งนี้ จากผลของการแปรสภาพรัฐวิสาหกิจน้ำมัน การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย เป็นบทเรียนที่เจ็บปวดและสร้างผลกระทบอย่างรุนแรงต่อประชาชนอย่างเห็นได้ชัดมาแล้ว เพียง 5 ปี ที่ การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) แปรสภาพไปเป็น บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) ทำให้ราคาน้ำมันสูงมากกว่าเท่าตัว ในขณะที่ บมจ.ปตท. และบริษัทในเครือ กลับมีกำไรรวมกันมากกว่า 1 แสน 2 หมื่นล้านบาท ซึ่ง บมจ.ปตท. ได้โต้แย้งในเรื่องกำไรทั้งหมดนี้ว่า ไม่ได้มาจากการขายน้ำมันเท่านั้น แต่มาจากกิจการอื่นๆ ที่ บมจ.ปตท. ขยายสายผลิตภัณฑ์ออกไป อาทิ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิต จำกัด (มหาชน) เป็นต้น แต่ในสภาพความเป็นจริงแล้ว หาก ปตท. ยังคงเป็นรัฐวิสาหกิจอยู่ รัฐก็สามารถกำหนดนโยบายให้ ปตท. ลดกำไรในส่วนของราคาน้ำมันที่ขายลง แล้วนำกำไรจากบริษัทอื่นๆ ในเครือ ที่ ปตท. ได้รับ มาใช้ในการดำเนินงานและขยายกิจการแทน ก็สามารถทำได้ โดยไม่สร้างผลกระทบต่อกิจการแต่อย่างใดเลย แต่ในทางกลับกัน เมื่อ ปตท. แปรสภาพเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ รัฐก็ไม่สามารถเข้าแทรกแซงนโยบายด้านกำไรได้ ส่งผลให้ บมจ.ปตท. มีกำไรที่สูงมาก สร้างผลตอบแทนมหาศาลให้กับผู้ถือหุ้นรายใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มทุนธุรกิจการเมือง ที่ได้รับการจัดสรรหุ้นเป็นพิเศษเป็นจำนวนมาก ดังที่เคยปรากฏเป็นข่าวอย่างแพร่หลายมาแล้ว ซึ่งไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศเลยแม้แต่น้อย ทั้งๆ ที่ทรัพยากรน้ำมันเป็นทรัพยากรของชาติ ที่ควรก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างเท่าเทียมกัน
        เช่นเดียวกันกับ สาธารณูปโภคผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งเป็นกิจการสาธารณูปโภคที่มีผลกระทบต่อประชาชนทั้งชาติ และเป็นความมั่นคงทางเศรษฐกิจอันสำคัญที่สุดของประเทศ ที่จัดตั้งขึ้นโดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายเฉพาะ ในการรักษาความมั่นคงของรัฐหรือเศรษฐกิจของประเทศ การคุ้มครองประชาชนในด้านสาธารณูปโภค ซึ่งเป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ มาตรา 50 และมาตรา 87 ที่ได้รับการยกเว้นในการแข่งขันเสรี เพื่อป้องกันการผูกขาดโดยบุคคลหรือนิติบุคคลใดๆ จึงได้ให้อำนาจรัฐเป็นผู้ประกอบกิจการนั้นเอง เพื่อประโยชน์ของประชาชน เพื่อป้องกันการผูกขาดหรือขจัดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขัน
        ทรัพย์สินของ กฟผ. ได้มาจากทรัพย์สินของแผ่นดิน สร้างและดำเนินกิจการมา ด้วยเงินค่าใช้กระแสไฟฟ้าที่เรียกเก็บจากประชาชนโดยไม่ได้รับการอุดหนุนงบประมาณประจำปี หรืองบประมาณลงทุนพิเศษใดๆ จากรัฐบาล นอกจากนั้นแล้ว พื้นที่ใช้สอยประโยชน์ของกิจการไฟฟ้าส่วนใหญ่ ยังได้มาจากทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ทรัพย์สินแผ่นดิน เขื่อน พื้นที่สันเขื่อน สัมปทานเหมือง การบริจาคที่ดิน การได้รับสิทธิในการสัมปทานเหมืองถ่านหินจากรัชการที่ 7 ที่ได้ทรงระบุไว้อย่างชัดเจนว่าทรงพระราชทานไว้เพื่อ รัฐบาลสงวนไว้ใช้ราชการ เพราะจะเป็นประโยชน์แก่บ้านเมืองต่อไปหาน้อยไม่อาทิ โรงไฟฟ้าแม่เมาะ เหมืองแม่เมาะ เหมืองกระบี่ เป็นต้น และที่สำคัญอย่างยิ่ง ทรัพย์สินส่วนใหญ่ ยังได้มาจากการเวนคืนที่ดินจากประชาชนในการสร้างโรงไฟฟ้าและการรอนสิทธิประชาชนโดยการวางพาดสายส่งแรงสูงผ่านที่ดินของประชาชนและที่สาธารณะทั่วประเทศ ที่รัฐธรรมนูญได้ระบุอย่างชัดเจนว่า การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ จะทำได้ต่อเมื่ออาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายเฉพาะการเพื่อการอันเป็นสาธารณูปโภคดังนั้น เมื่อ กิจการไฟฟ้า ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ได้ใช้อำนาจตามมาตรา 49 เพื่อการเวนคืนดังกล่าว จึงเป็นที่ประจักษ์และชัดแจ้งว่า กิจการไฟฟ้า เป็นสาธารณูปโภคที่ได้รับการคุ้มครองตามมาตรา 50 และ 87
        ดังนั้น การที่รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังและการทรวงพลังงาน อาศัยอำนาจบทบัญญัติแห่งกฎหมายพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2542 มาใช้ในการแปรสภาพการไฟฟ้าฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย อันเป็นกิจการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า ซึ่งสาธารณูปโภคที่มีความจำเป็นต่อประชาชน ที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติ การรักษาประโยชน์ส่วนรวม จึงเป็นสิ่งที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 49 , 50 และ 87
        ดังนั้น เพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการได้รับบริการสาธารณะและสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานแห่งรัฐ ไม่ให้ตกเป็นเครื่องมือแสวงหาผลประโยชน์ของนักลงทุนธุรกิจการเมือง ก่อให้เกิดความเดือดร้อนต่อประชาชนและทำลายความมั่นคงของประเทศ จึงควรขยายความรัฐธรรมนูญบางมาตราที่เกี่ยวข้องในเรื่องดังกล่าวที่เคยมีในรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2540 ให้เกิดความชัดเจน ทั้งนี้ โดยมีเจตนารมณ์ 4 ประการ คือ
         1. ดำรงรัฐวิสาหกิจสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของรัฐ ที่จำเป็นแก่ประชาชนโดยตรง ได้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การประปานครหลวง การประปาส่วนภูมิภาค องค์การเภสัชกรรม การรถไฟแห่งประเทศไทย การโทรศัพท์บ้านพื้นฐาน การไปรษณีย์ โรงพยาบาลของรัฐ มหาวิทยาลัยของรัฐ โรงเรียนของรัฐ และกิจการบริการสาธารณะอื่นๆ ที่เป็นความจำเป็นแก่ชีวิตของประชาชนทั่วประเทศอย่างเท่าเทียมกัน
         2. ให้รัฐวิสาหกิจและบริการสาธารณะ ตามข้อ 1 ดำเนินการต่อไปตามกฎหมายเฉพาะที่จัดตั้งขึ้น และให้รัฐมีหน้าที่ในการสนับสนุนการดำเนินงาน (เนื่องจากรัฐบาลมักจะอ้างเรื่องหนี้สาธารณะ ไม่ให้รัฐวิสาหกิจกู้เพิ่ม เพื่อบีบให้เข้าตลาดหลักทรัพย์)
         3. การดำเนินการของรัฐวิสาหกิจและบริการสาธารณะ ตามข้อ 1 จะต้องมีราคาไม่สูงกว่าเอกชนดำเนินการ และให้มีองค์กรอิสระในการกำกับดูแลกิจการสาธารณูปโภคและบริการสาธารณะโดยเฉพาะ
         4. เอกชนจะดำเนินการในเชิงแข่งขันเสรีในกิจการสาธารณูปโภคและบริการสาธารณะ ตามข้อ 1 ได้ไม่เกินสัดส่วนที่วิสาหกิจของรัฐเป็นผู้ดำเนินการ (หรือไม่เกินกึ่งหนึ่ง) เท่านั้น เพื่อรัฐคงความมั่นคงไว้อย่างน้อยกึ่งหนึ่งของประเทศ ไม่ให้เอกชนมีอำนาจต่อรองในการกำหนดราคามากเกินควร หรือร่วมกันผูกขาดหรือสมยอมราคากัน และเพื่อธำรงรักษาไว้ซึ่งความมั่นคงของรัฐ
        การจัดสรร สาธารณูปโภค ขั้นพื้นฐานแก่ประชาชนให้ทั่วถึง เป็นหนึ่งในภารกิจที่รัฐต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งเพราะการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน คือปัจจัยที่บ่งบอกถึงคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน การจัดสรร ระบบไฟฟ้าน้ำประปา ที่เพียงพอต่อความต้องการ และกระจายไปในทุกพื้นที่ ตลอดจนถึงการจัดหาทรัพยากรอันเป็นวัตถุดิบ และการบริหารจัดการ ระบบสาธารณูปโภคที่ดี เพื่อให้พี่น้องประชาชนคนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพี่น้องในต่างจังหวัด ในชนบทห่างไกล มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และเป็นพื้นฐานในการพัฒนาความเจริญของประเทศในระดับที่ดียิ่งๆขึ้นไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น